Thursday, February 28, 2013

บันทึกเรื่องราวการเรียนรู้จากค่ายต่อยอดกระบวนกร และโค้ชชิ่ง ก.พ. 56

เริ่มต้นด้วยความอยากเขียนสรุปการเรียนรู้ของตัวเองจากค่ายต่อยอดกระบวนกร 3 วัน จริงๆก็ยังงงๆอยู่ว่า เอ้ เราเรียนรู้อะไรมาบ้างนะ รู้อย่างเดียวว่าเหนื่อยชิบเป๋ง ออกมาจากค่ายแล้ว ยังรู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอเลย กินเยอะกว่าปกติ ทั้งๆที่ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย นั่งๆนอนๆ

ในความรู้สึกส่วนตัว ผมว่าค่ายนี้เป็นค่ายที่โคตรเปราะบางเลย ทั้งทีมกระบวนกรเอง และผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะ ครูผึ้ง (ขอเรียกว่าครูก่อน) จำได้ว่าแซวกันในวันสุดท้าย ว่าแทบจะลุกขึ้นไปบอกหยุดร้องไห้เถอะ ไม่ไหวแล้ว แต่ต่างกันก็ต่างรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เปราะบางกันทั้งคู่

ค่ายนี้ได้เจอครู พี่น้อง ที่คิดถึงๆ เป็นค่ายที่รู้สึกว่า connect กับผึ้งและต้องมากขึ้น จากที่เคยรู้สึกว่า connect ในค่ายก่อนๆ ค่ายนี้ เปราะบางของเขา กลายเป็นเปราะบางของเราด้วย จะบ้าตาย เหนื่อยโคตรๆ

เสียดายตัวเองที่ไม่ค่อยได้มีโอกาศคุยกับคนอื่นมากนัก ตามประสา คนติดครอบครัว ไปสายช่วงเช้าเป็นประจำ ทำให้เวลาน้อยลงไปอีก (เป็นข้ออ้างให้ดูดี)

กลับมาที่การเรียนรู้ว่าได้อะไรบ้าง ก็เรียบเรียงไม่ถูก อาจจะเริ่มต้นจาก กระบวนกร คือ อะไรดีกว่ามั้ง คำว่ากระบวนกร ที่ตัวเองเข้าใจคือ ผู้นำกระบวนการ กระบวนการที่นำไปสู่การเรียนรู้ของผู้เข้าร่วม กระบวนกรก็เป็นคนธรรมดาๆนี้แหละ ไม่ได้เป็นคนวิเศษ มีภูมิธรรมอะไรมาก ก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนเรา แต่เขาก็ผ่านการฝึกตัวเอง ฝึกเรียนรู้ การเปิดรับ และการน้อมรับ มากกว่าพวกเรา

เคยเข้าค่ายหลายครั้ง ก็พบว่า ปมปัญหาที่ซ้อนเร้นของเรา ได้ถูกคลี่คลาย และเยียวยามาเรื่อยๆ แอบเคยคิดว่า พวกกระบวนกรเหล่านี้ คงผ่านพ้นเวลาวิกฤติเช่นเรามาแล้วกระมั้ง ค่ายนี้ก็เรียนรู้ว่า ไอ้ที่เรารู้สึกว่าเรามีปมอยู่มากมายนั้น พวกเหล่ากระบวนกรดูท่าทางจะมีปมชีวิตมากกว่าเราอีกมั้งเนี้ย

ในความเป็นจริง คนเรามีปมชีวิตอยู่ทุกคน ไม่มากก็น้อย รู้หรือไม่รู้ และดูเหมือนปมพวกนี้ หลบซ่อนและแอบทำงานอยู่ลึกๆ ผ่านทางจิตไร้สำนึกอยู่ตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว

และเช่นเดียวกัน งานหนึ่งของกระบวนกร คือ การนำพาผู้เข้าร่วมไปสัมผัสการดำรงอยู่ของปมทางจิตวิทยาที่ซ่อนอยู่นั้น เพื่อให้ตระหนักเกิดความตื่นรู้ของตัวเขาเอง หน้าที่ของกระบวนกรไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า การอยู่ร่วมทาง ประคองเขาให้รับรู้ และสัมผัส ความเปราะบาง ความเจ็บปวด บาดแผลของปมจิตวิทยาของเขาเอง และเมื่อนั้น การรู้ตื่น ก็จะเกิดขึ้นจากตัวเขาเอง

จากภาวะอัตโนมัติที่หลับไหล ที่ทำงานมาตลอดโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็จะเกิดการรู้ เกิดปัญญา สมอง จิต ความรู้สึก ก็จะเริ่มๆต่อสาย วางเส้นทางใหม่ที่ละนิดทีละนิด ภาษาง่ายๆที่ อาใหญ่ใช้คือ สมองจะเริ่มรื้อ และเขียนโปรแกรมใหม่ ผมชอบคำว่ารื้อ เพราะว่ามันจะเป็นไปช้าๆ ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งแปลว่าต้องใช้เวลา ทุกครั้งที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจบาดแผลนั้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตลอด สมองก็มีโอกาสได้เขียนเส้นทางใหม่ จากเส้นทางอัตโนมัติเดิมๆ ที่เราเลือก หรือถูกบังคับให้เลือก(จากจิตใต้สำนึก) เส้นทางใหม่ก็เกิดขึ้นมาเป็นทางเลือกให้กับเรา ซึ่งแปลว่า จะเลือก หรือไม่เลือกก็ได้ เป็นสิทธิของเรา ไม่ใช่ดังเช่นเดิมแล้ว

มีทางลัดของการเป็นกระบวนกร หรือไม่เป็นหัวข้อที่อาใหญ่ ตั้งขึ้นมาในวงการเรียนรู้ และได้ต้องบอกเล่าเรื่องราวการเรียนรู้ของตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นทางลัด ในสายตาของคนในชุมชน และอย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผมด้วย เรื่องราวที่จะบอกต่อไปนี้ ขอเป็นการถ่ายทอดจากความรู้สึกของผม ที่รับรู้ผ่านฐานใจ เพราะเรื่องราวนั้นสั่นสะเทือนผมตลอดทุกถ้อยคำ

ต้องบอกเล่าว่า เขาเข้ามาด้วยความหวัง หาที่พึ่งพิงทางใจ จากเด็กติดยาคนหนึ่ง และเหมือนจะขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ ลุงเป็นที่พึ่งพิงทางใจคนเดียวที่มอบความรัก ความอบอุ่นให้ต้องมาตลอดในช่วงแรก จากความรักความศรัทธานั้น ต้องเปิดรับความรู้ และการทดลองทำแบบฝึกหัดต่างๆ ด้วยความเชื่อมั่นหมดหัวใจ ตั้งแค่การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แม้ว่าต้องเปิดดิกชั่นนารี่ทุกคำก็ไม่บ่น ไม่ท้อ การหัดเขียนเรื่องราว บทความ และหัดแปลหนังสือด้านจิตวิทยา ความสนิทสนมระหว่าง ครู ศิษย์ ทำให้เกิดความปลอดภัย กล้าทดลอง กล้าทำ ตรงนี้ศัพท์ของอาใหญ่ ใช้คำว่ากล้ามั่ว ส่วนตัวคิดว่าก็ไม่มั่วนะ เรียกว่ากล้านำไปทดลอง ไม่กลัวที่จะผิดพลาด ไม่กลัวปัญหาใหม่ที่เราไม่รู้มากกว่า และความสนิทสนม ทำให้ใจชื่น เมื่อพลาดเมื่อผิด เกิดปัญหาที่แก้ไม่ออก ก็กลับมาหา มาถก มาเรียนกับครูได้ตลอดเวลา

อาใหญ๋ใช้คำหนึ่งตรงนี้ ว่า ครู และศิษย์ ต่อท่อตรงถึงกัน มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงด้วยสมองซีกขวา ไม่ตัดสินถูกผิด และประเด็นนี้ ดูเหมือนจะเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นกระบวนกรด้วย

การ connect ระหว่างกันด้วยสมองซีกขวา บางครั้งเราก็ใช้คำว่า จากใจถึงใจ ทำให้เชื่อมโยงกัน มีพลังอุ่นๆ และด้วยพลังนี้แหละ จะเหนี่ยวนำให้คนกล้าที่จะเผชิญอุปสรรค และกล้าที่จะก้าวข้ามขอบ ปมทางจิตวิทยาของตัวเขาเอง

กระบวนกรต้องฝึกฝนเรียนรู้ที่จะโยกย้ายสมองซีกซ้าย มาสู่สมองซีกขวา จากการคิดการตีความ การตัดสิน มาเป็นการฟังด้วยความรู้สึก การโอบอุ้ม เปิดกว้าง ไม่วิภาษวิจารณ์ ไม่ตัดสิน รับฟังและอยู่ร่วมจริงๆ

คำถามที่เกิดขึ้นกับตัวเอง คือ แล้วเราจะฝึกสมองซีกขวาอย่างไรกันแหละ อาใหญ่บอกว่า การมองเป็นภาพ ก็ฝึกได้ การอยู่กับการสั่นไหว ไม่เข้าไปตัดสินคนอื่น และอะไรอีกไม่รู้ จำไม่ได้ เพราะสมองบวมแล้วตอนนั้น

มีโจทย์อันหนึ่งเกิดขึ้นในวงสนทนาวงใหญ่ เรื่องตัวตน มีคำพูดหนึ่งที่น่าขำ แต่ก็เป็นความจริงคือ ผู้เข้าร่วมมักจะคาดหวังว่า กระบวนกร จะตอบได้ทุกเรื่อง แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ซึ่งกระบวนกรเองก็ไม่รู้หรอก ก็แค่ชวนกันมาคิดต่อ และติดเป็นการบ้านให้ ผมก็นึกถึงตัวเอง เราก็เป็นอย่างนั้นนะ เราก็อยากได้คำตอบ อยากได้ solution อยากได้ template มาใช้เลย หลังจากเคยถามเรื่องประมาณนี้กับครูพบ อ.กิ่งแก้ว และอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็พบว่า เออ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ไม่มีเวลาที่ชัดเจน วิธีการสำหรับคนหนึ่ง ณ เวลานั้น ก็ต่างกับคนอื่น หรือแม้แต่กับคนเดียวกัน แต่ ณ เวลาที่ต่างกันไปด้วยซ้ำ

ค่ายนี้ ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับความขัดแย้ง อยู่กับการไม่เห็นด้วยกับประเด็นที่ผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น การรู้ตัวที่จะเข้าไปตัดสินถูกผิด ตอนนั้นมันแว๊บขึ้นมาว่า จริงๆคนที่เข้าใจผิดอาจจะเป็นเราด้วยซ้ำไป เราอยากพูดให้ถูก เพราะว่ามันไปตอบสนองตัวตนของเราเท่านั้นกระมั่ง

การอยู่กับความขัดแย้งเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม มันดูหงุดหงิดน่ารำคาญ แต่ผ่านไปได้มันก็เป็นอรรถรสที่แปลกไป แม้ว่าไม่เห็นด้วย การบอกต่อวงสนทนาว่า ผมไม่เห็นด้วย ก็คงปลดปล่อยพลังงานด้านลบของผมออกไปเหมือนกัน และตื่นเต้นที่ผู้อื่นในวงก็รู้สึกโอเค สบายๆ รับรู้ และยอมรับการไม่เห็นด้วยของผม เอ้ เราคงคิดมากไปหรือเปล่าว่า เขาจะตอบโต้ด้านลบกลับมา

มีเรื่องหนึ่งที่ ครูพบ พูดในวงหนึ่งน่าสนใจ และอาจจะสอดคล้องกับเรื่องนี้คือ เราชอบคิด fantasy ไปก่อนแล้วว่า มันจะเจออะไร มันจะเลวร้ายอย่างไร และปรุงแต่งไปเรื่อยๆ และอีกด้านหนึ่งคือ เราเองก็ไม่มีไอเดียด้วยซ้ำว่า เราทำแบบนั้นแบบนี้ได้ เพราะว่าเราไม่เคยนึกไม่เคยคิดมาก่อน ใช้แต่ทางเดิมๆ … ผมชอบคำว่า เราไม่มีไอเดีย ด้วยซ้ำ มีคำถามวงนั้นว่า แล้วเราต้องทำอย่างไรละถึงจะมีไอเดีย คำตอบง่ายแสนง่าย คือ ก็ลองดูสิ ว่าผลจะเป็นอย่างไร

ครูพบเป็นครูที่มีพลังอุ่นๆให้กับผมเสมอ คำพูดครุพบมักจะไปสะกิดอะไรบางอย่างในตัวผม ให้เกิดแนวคิดดีๆ หรือปัญญาที่นำไปสู่การปฏิบัติ

เรื่องหนึ่งที่สำคัญในค่ายนี้ จริงๆผมว่าสำคัญหมดทุกค่ายกระมัง คือ ความเปราะบาง โดยทั่วไปคำนี้มักสร้างความหมายด้านลบ เป็นความอ่อนแอ การพ่ายแพ้ ปัญหา หรืออุปสรรคใหญ่หลวง จุดอ่อน ผมลองเอาคำนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันละ คนจะเข้าใจความหมายด้านลบ และไม่คิดถึงคำด้านบวกสักเท่าไร

เขียนถึงตอนนี้ นึกถึงคำของน้องคนหนึ่งในค่าย ที่บอกเล่าให้ฟังว่า เขาไม่รู้เรื่องศัพท์แสงที่ใช้กันในวงเท่าไร ยังคุยกับเพื่อนๆว่า นี้เหมือนจะเป็นโลกพวกเทพๆเขากระมัง อะไรก็ไม่รู้ เปราะบาง กระทิง เยียวยา ตัวตน แล้วก็ศัพท์อะไรนึกไม่ออก เพราะต้องคิดไป 3-4 ชั้นก่อนจะเข้าใจ ปวดหัวมาก.... เอ้ จะคุยกับคนอื่นยังไงดีนะ ตอนนี้ฉันเปราะบาง ต้องการการเยียวยาจากแกวะ …. ถ้อยคำไม่กี่ประโยคจากน้องสาวคนน้อย สร้างเสียงหัวเราะ และทำให้วงกระชับขึ้นมา และคอนเนคกันอย่างประหลาด นี้กระมังที่อาใหญ่ ใช้คำว่า กระบวนกร เราใช้การสื่อสารที่มีอารมณ์ความรู้สึก ข้อความจะเข้าไปสู่ที่ใจคนฟังง่ายที่สุด

กลับมาที่การเปราะบาง มีกิจกรรมหนึ่งที่ อาใหญ่ ให้โจทย์พวกเราเข้าไปสู่ความเปราะบาง และลองโอบอุ้มกันในวงเล็กๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าแต่ละคนก็อยากจะเปราะบาง อยากจะวางเกราะ วางการ์ดลง ยอมเป็นเด็กน้อยผู้เปราะบางกันทุกคน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาไม่รู้สึกปลอดภัยเพียงพอที่จะผ่อนคลาย และยอมรับการเข้าสู่ภาวะการเปราะบาง ซึ่งในความหมายคนทั่วไปคือ ความอ่อนแอ แต่นั้นแหละ เมื่อมีใครสักคนวางใจและยอมเข้าสู่ความเปราะบาง แชร์เรื่องราวออกมา กระแสธารนั้นเหนี่ยวนำผู้อื่นเข้าสู่ภาวะนี้เช่นเดียวกัน และ ณ ช่วงเวลานั้นเอง วงเล็กๆต่างต่อท่อพลังงานเข้าหากันเรียบร้อยแล้ว หลายครั้งเรื่องราวของคนอื่น ความเปราะบางของเขา เราก็รับรู้ได้เหมือนเป็นความเปราะบางของเรา มันมีจุดร่วมบางอย่าง และเรื่องราวของเรา ก็ได้สะกิดอะไรบางอย่างในตัวเขาเช่นเดียวกัน

การเรียนรู้ความเปราะบางของผมในวันนั้นอาจจะแตกต่างออกไป ผมรู้สึกว่าตัวผมสั่น และตัวตนผู้พิทักษ์ออกมา ผมจับได้จากลักษณะท่าทางของตัวเองที่มักจะนั่งกอดเข่าตอนที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ผมรู้จักตัวตนนี้ตอนที่เข้าคอร์ส voice dialogue กับเจมี่ และเมื่อรู้ตัว ก็ลองอยู่แบบสั่นดูสิ ขอบคุณผู้พิทักษ์นะ แต่ขอลองยืนบนขอบเล็กๆนี้ดูสิ ผมบอกคนอื่นๆว่า ผมกลัว ผมตัวสั่น ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรดี ขออยู่สักแป๊บนะ มันคงเป็นการบอกกล่าวความเปราะบางสั้นๆง่ายๆ เริ่มต้นออกมา และก็เริ่มต้นเข้าสู่วงสนทนาระหว่างกันในความเปราะบาง

เรื่องราวของเขาชั่งคล้ายๆกับความทุกข์ของเราเลย อารมณ์อยากช่วย อยากนำพา อยากแนะนำ และอะไรไม่รู้ คำถามในหัวเกิดขึ้นเต็มไปหมด เราควรต้องทำอย่างไรดี เราต้องให้เขาเปราะบางกว่านี้ไหม เราต้องบอกเรื่องของเรา หรือสิ่งที่เราเคยเจอมาหรือเปล่า เราต้องทำตอนไหนดี จังหวะนี้เราต้องทำอะไร สมองสับสน อื้ออึง ได้แต่ทำตามที่ตัวเองอยากทำ รู้ตัว ไม่พยายามให้ข้อมูลถล่ำลึกจนกลายเป็นพล่าม และเป็นกำลังใจให้กัน

วันนั้นกลับมาถามอาใหญว่า ในเวลาแบบนั้นผมควรจะทำเช่นไรดี มีคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวผม คำตอบกลับเรียบง่ายกระชับ ไม่ต้องทำอะไร อยู่กับเขา โอบอุ้มเขาให้เขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาพบ และเขาจะเกิดปัญญาด้วยตัวเขาเอง

คำตอบนี้ และเหตุการณ์ในค่าย จริงๆต้องขอบคุณเรื่องราวของลิลลี่ ที่อาใหญ่เล่าให้ฟังในวันสุดท้ายด้วย ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการข้ามขอบ และคำสอนครูบาอาจารย์ที่เคยสั่งสอนเรามาแล้วหลายครั้ง คนจะข้ามขอบได้ ก็ต้องด้วยตัวเขาเอง เราทำได้แค่เป็นกำลังใจ เป็นกัลยานมิตร คอยยืนเคียงข้างเขาเท่านั้น

หลายเรื่องก็เคยเรียนมาแล้วในค่ายก่อนๆ ก็เข้าใจมากขึ้น เรื่องไหนไม่ค่อยจะเข้าใจ ค่ายนี้ก็กระจ่ายขึ้น และเชื่อมโยงระหว่างกันได้มากขึ้น ส่วนเรื่องไหนเรายังไม่เข้าใจก็ปล่อยๆไป ไม่ต้องรีบเข้าใจก็ได้มั้ง

อย่างเรื่องต้นไม้ มินเดล ตรงแดนฝันที่เคยงงๆ วันนี้ก็เข้าใจมากขึ้นว่า เราจะเข้าถึงญาณทัศนะ eldership คำสอน หรือคำชี้ทางออก ได้นั้น เราก็ควรอยู่ในสภาวะที่เปิดรับได้ ยอมรับกับปมจิตวิทยาตัวเอง ยอมรับกับเรา และผู้อื่น นั้นคือ การเข้าไปอยู่ในภาวะเปราะบางนั้นเอง สภาวะที่พร้อมที่จะเรียนรู้ และรับรู้ เข้าใจ อยู่ร่วม และไม่ตัดสิน การออกจากโหมดปกป้อง การผ่อนคลายตัวเอง ให้เข้าสู่กระแสของคลื่นอัลฟา

อย่างหนึ่งที่รู้สึกคือจากที่เคยคิดว่า ปัญหาใคร ปัญหามัน ลึกๆมันมีจุดเชื่อมต่อกันบางอย่าง ซึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าในมินเดล ก็บอกว่า ราก แก่น บรมธรรม ซึ่งก็ตั้งเอาไว้ก่อนละกัน

วันสุดท้าย หลังจากรับรู้ความเปราะบางของคนอื่นๆมามาก ผมก็ได้เปิดเผยความเปราะบางของตัวเองในวงสนทนาวงใหญ่ หลังจากที่อาใหญ่ร้องเพลง … ผมจำชื่อไม่ได้ และแปลออกมาให้พวกเราฟัง เนื้อเพลงงดงามมาก อารมณ์ อัศวินยังคงต่อสู้ต่อไป และกล้าหาญมาก แม้ว่าจะรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคนั้นได้ แต่ก็ยังคงสู้ต่อไป คนในวงรู้สึกได้รับพลัง และรับปากจะมาสู้ต่อในเส้นทางกระบวนกร

สำหรับตัวเอง ผลลัพท์ต่างกันมาก ผมรู้สึกเหนื่อยมาก ร่างกายทรมาน ความรู้สึกมันท่วมท้นออกมา ความเศร้า มันนั่งไม่ไหว ต้องเดินไปเดินมา มีอะไรไม่รู้อัดแน่นอยู่ในตัวเอง จนทนกับสภาวะนั้นไม่ได้ต้องหยิบไมค์ บอกกล่าวความรู้สึกออกมา มาถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมได้เอ่ยปากบอกเล่าอะไรไปบ้าง ผมบอกไปตามที่ใจรู้สึก ผมบอกว่าผมทรมาน ผมเห็นคนอื่นทุกข์ ผมก็อยากจะช่วย ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไง ผมฟังเพลง ผมสงสารอัศวินคนนั้น ผมก็อยากจะช่วยเขา ผมรู้สึกว่าเขาทุกข์ทรมาน ผมสงสาร หรือจริงๆ ผมอาจจะอิจฉาอัศวินคนนั้นก็ได้ ที่เขายังคงสู้ต่อไป แม้รู้ว่ามันยาก แม้รู้ว่าโอกาสเป็นไปได้แทบไม่มี และการสู้นั้นเป็นเส้นทางเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ผมจำได้ว่าตัวผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่รู้มันเป็นอะไร รู้แต่ว่ามันทุกข์มาก เศร้าทรมานมาก ร้องไห้อยู่นานแสนนาน แต่ก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มีคนทั้งวงรับฟังเรื่องราว และความทุกข์ของผม มีครูกิ๊บ และปาน คอยสนับสนุน โอบอุ้มความรู้สึกผมอยู่ข้างๆ

ความประหลาดของตัวเองประสบ คือ เมื่อเปิดเผยความเปราะบางนั้น และบอกเล่าเรื่องราวออกมาแล้ว ความทุกข์ผมหายไปแล้ว โลกแจ่มใส ฟ้าสว่างขึ้นมาทันที หลายคนก็เป็นห่วงผมว่าผมจะยังคงทุกข์ ผมก็อาจจะทุกข์กระมัง ไม่รู้สิ แต่มันสบายใจแล้ว ร่างกายไม่หนักเหมือนก่อนแล้ว ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแล้วมั้ง

แต่ละวันที่อยู่ค่ายกลับมานอนหลับเป็นตาย เรียกว่าสลบอาจจะเหมาะสมกว่า กลับบ้านข้าวเย็นนี้กินๆๆ วันสุดท้ายผมกินไป 3 จาน ยังไม่ค่อยรู้สึกอิ่ม มันเหนื่อยมาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นค่ายที่รู้สึกใช้พลังงานเยอะมากๆ และแอบขำว่า จะเปราะบางกันมากไปไหม โคตรเหนื่อยเลยอะ

จบค่าย 3 วันก่อนแยกย้าย เราก็ร่ำลากัน ทั้งน้ำตาบ้าง ทั้งเสียงหัวเราะบ้าง คุยกันคล้ายรู้จักกันมานาน แต่ไม่อยากจากกันไปไหน ผมนึกเสมอว่า เราต่างเป็นครู เป็นเพื่อน เป็นศิษย์ เป็นพี่เป็นน้อง เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เส้นทางของเรานั้นไม่ได้เดินไปคนเดียวแน่นอนแล้ว พวกเราเดินไปด้วยกัน ไม่ทิ้งกัน คอยช่วยเหลือกันตลอดเส้นทาง ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ