Tuesday, October 08, 2013

มาเล่าให้ฟังเรื่อง "ความสุข 3 ข้อ ใน 24 ชม."

พิมพ์ไประหว่างรอคิวตรวจหมอของลูกทั้งสอง พบว่าพี่วสุก็สร้างกลุ่มห้องระบายความสุขให้ทีม 6 โดยเอาแนวคิดเรื่องเล่าความสุข 3 ข้อ กิจกรรมที่ผมแนะนำลูกทีม OJT5 ไปประยุกต์ใช้

มาเล่าให้ฟังหน่อยแล้วกันว่า ข้าน้อยเอากิจกรรมนี้มาจากไหน ผมเจอครั้งแรกในค่ายหนึ่งของ อ.วิศิษฐ์ วังวิญญู (อาใหญ่) ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นค่ายสมองพุทธะ อาใหญ่ให้ทำกิจกรรมง่ายๆให้เราเขียนเรื่องราวที่เรามีความสุข 3 ข้อ ที่เกิดขึ้นใน 24ชม ที่ผ่านมา ก็เขียนลงในกระดาษ บรรยายความสุข เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกต่างๆ เล่าให้เห็นภาพ พยายามเขียนให้ออกมาจากใจ มากกว่าที่จะออกมาจากความคิด ตรงนี้เป็นคีย์หลักสำคัญ เพราะกิจกรรมนี้พยายามที่จะใช้สมองซีกขวา ส่วนที่ใช้งานด้านความรู้สึก อารมณ์ต่างมากขึ้นแรกๆอาจจะไม่ชิน ก็มักได้เป็นข้อๆ ไม่มีการบรรยายความ แต่พอเราเริ่มเปิดโหมดอารมณ์ได้ ก็จะใส่ความรู้สึกเข้าไปมากขึ้น ถ้าสังเกตตอนที่เขียนเรื่องความสุขนั้น ช่วงที่เรานึกย้อนไป เราจะมีความสุขเสมือนกับตอนเกิดเรื่องนั้นจริงๆ

อาใหญ่เล่าว่า สมองเราให้ค่าจินตนาการเทียบเท่าเรื่องจริง บางคนที่มีความทุกข์นั้น หลายๆเรื่องยังไม่เกิดขึ้นจริงเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องราวที่กลัวจากจินตนาการของเราเอง เราอาจจะเคยเจอเรื่องคล้ายๆกัน ก็ดึงเอาประสบการณ์นั้นออกมา กลัวไปก่อนแล้ว อื่มเรื่องนี้เล่าจริงคงยาว เพราะอาจจะโยงไปเรื่องปมทางจิตวิทยาก็ได้ เพราะประสบการณ์ในอดีตยังคงอยู่ในฐานความจำ และสมองเราดึงออกมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นจินตนาการ ทำให้คิดเอาว่า ต้องเป็นอย่างนั้ยอย่างนี้ในเรื่องจริงๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดก็ได้

เรื่องนี้ก็ตรงกับ การสอนลูกที่อ.กิ่งแก้ว เคยแนะนำไว้เหมือนกัน ว่าให้เราเล่นสมมุตกับลูกในเรื่องราวบางเรื่องที่เราอยากให้เขาได้โอกาสลองทำ เช่น เล่น theme ต่อสู้ ก็แทนที่จะเริ่มไปให้ต่อสู้กับคนอื่นๆ ก็ผ่านการสมมุติในจิตนาการเสียก่อน แกก็บอกเหมือนกันว่า จินตนาการ เท่ากับประสบการณ์จริง

กลับมาเรื่องความสุข ปกติเรามักจะนึกถึงความทุกข์ก่อนเสมอ คงเพราะเราไม่ชอบมั้ง เลยอยากจะกำจัดออก แต่ยิ่งคิดถึงมันก็ยิ่งทุกข์ ทำไมให้เขียนเรื่องความสุขละ ก็เพราะเรากำลังจะหัดมาหล่อเลี้ยงความสุขบ้าง เปิดให้งานสมองซีกขวา ส่วนที่ดูแลเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ แล้วมันใช้ตรงไหนละ ก็ตรงการบรรยายอารมณ์ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ให้เขียนลงไปนั้นแหละ

จากนั้นถ้าให้ครบกระบวนการ ก็จะนั่งจับกลุ่มแชร์เรื่องเล่าของตัวเองให้คนอื่นๆฟัง การบอกเล่าเรื่องราวนั้น ก็ย้ำความสุขเข้าไปอีกครั้งหนึ่งอีก การฟังเรื่องราวความสุขของคนอื่น เราก็พลอยรู้สึกมีความสุขไปกับเขาด้วย ก็ได้ความสุขกลับมาอีก

อาใหญ่ เล่าให้ฟังต่อว่า กิจกรรมนี้เขาใช้ในการรักษาคนเป็นโรคซึมเศร้าได้ แต่แกเอามาปรับใช้กับกระบวนการเรียนรู้ ผมอ่านเจอในบทความของอาใหญ่เก่าๆ แกใช้การหล่อเลี้ยงความสุขนี้แหละ ค่อยมาพิจารณาความทุกข์ หรือปมอื่นๆที่เราติดขัดอยู่ ไม่ใช่ว่า สุข จะไปหักล้างกับ ทุกข์ มันก็สุขด้วย ทุกข์ด้วย แต่มันไม่ได้ทุกข์ไปทั้งหมด เรายังพอมีแรงสู้ต่อไปได้

การสร้างความสุข อาใหญ่ยังเล่าต่อว่าเมื่อเราใช้สมองซีกขวา หรือเวลาที่เรารู้ตัว มีสติ มันจะไปสร้างส่วนของ Mid Brain มากขึ้น ก็เก็บไปเรื่อยๆ ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมองซีกขวาจะเชื่อมกับ จิตไร้สำนึก ง่ายกว่า สมองซีกซ้าย(ด้านตระกะ) คุ้นๆว่าอย่างนั้นนะ

กิจกรรมนี้จะช่วยให้เรามองโลกในด้านดีขึ้น เราพบกับความสุขได้ง่ายขึ้น เราจมกับความทุกข์ต่างๆได้น้อยลง เราเรียนรู้ที่จะละเมียดละมัยกับสิ่งต่างๆรอบข้าง ใช้ชีวิตช้าลงบ้าง เราก็เปิดโหลดเข้าสู้การจินตนาการได้ดีขึ้น อยู่ในโหลดปกติได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่โหมดปกป้อง ที่เครียด วุ่นวายกับทุกเรื่อง

แล้วมันเกี่ยวกับการเทรดอย่างไร เล่าจากประสบการณ์ผมดีกว่า เมื่อมองโลกในด้านดีขึ้น ก็ดูจะใจเย็นมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น เครียดน้อยลง Mindset ดีขึ้นและสนุกกับการเทรดมากขึ้น เมื่อยามพลาดก็ยังพอที่จะมองเห็นโอกาส ไม่กระวนกระวาย ไม่ทุกข์ หรือโทษตัวเองกับความผิดพลาด มีสติดีขึ้น พอที่จะอภัย และเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นแทน

กิจกรรมนี้ ผมไม่ได้ทำเป็นประจำหรอกครับ ก็ทำที่เข้าค่ายนั้นแหละ แต่ใช้วิธีการมีความสุขเล็กๆ การละเมียดละไมกับสิ่งรอบข้างแบบง่ายๆ ไปเรื่อยๆ อย่างเรื่อง การนั่งชิบกาแฟช้าๆ สูดกลิ่น การเดินชมความงามท้องฟ้า การสังเกตุบรรยากาศของผู้คนในยามที่ผมเดินทางในแต่ละวัน แต่เมื่อเราแนะนำให้ลูกทีมได้ลองทำกิจกรรมนี้ ผมในฐานะโค้ชก็ควรแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน ไปๆมาๆ ผมก็พบความสุขในการเขียนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ก็เป็นความสุขหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเราได้อีก ... ^^