Thursday, January 03, 2013

เรื่องราวในปี 2555 ที่อยากบอกกล่าวกับชาวค่าย

เห็นหลายๆคนบอกกล่าว การทบทวนการเรียนรู้ต่างๆของตัวเองในปีที่ผ่านมา ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และมีเป้าหมายที่จะทำอย่างไรต่อในปี 2556 นี้

ปี 2555 ถือว่าเป็นปีแห่งการเข้าค่ายของผมมากๆ ไล่มาตั้งแต่ ดูแลผู้หล่อเลี้ยง / เล่นกับลูกให้สนุก / เล่นกับลูกให้สนุกต่อยอด / เยียวยาผู้หล่อเลี้ยง / Voice Dialogue Foundation / Floortime จริงๆอยากเข้าค่ายเยอะกว่านี้อีก แต่ก็นะ งานประจำ และหน้าที่ความรับผิดชอบค้ำคออยู่

แต่ละค่ายเหมือนค่อยๆปลดเกราะตัวเองออกที่ละชิ้นๆ มีเรื่องให้เรียนรู้ตัวเองเพิ่มขึ้นไปทีละนิดๆ จนบอกกล่าวเป็นเรื่องราวทีละค่าย ก็คงย่อยไม่หมด แต่ละค่ายโจทย์ชีวิตแต่ละช่วงแตกต่างกัน แม้ว่าจะมารู้ที่หลังว่า พื้นฐานของโจทย์นั้นมันคือเรื่องเดียวกัน รู้แต่ว่า มันค่อยๆประกอบจิ๊กซอร์ที่ละชิ้นๆ มาเป็นภาพชีวิตตัวเอง ค่อยๆเข้าใจ และทำความรู้จักตัวเองมากขึ้นๆ

ก็แปลกดีนะ ที่เราอยู่มาจนโตป่านนี้ พึ่งจะเข้าใจตัวเองจริงๆ ทั้งๆที่เหมือนจะรู้จักบ้าง คลับคล้ายคลับครา แต่จริงๆก็เหมือนไม่รู้จักเลยดีกว่า สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ใจในกระบวนการของชาวค่ายมาก ที่จัดสรรสภาวะ สิ่งแวดล้อม และตัวเราเอง ให้พร้อมเรียนรู้จากข้างในของตัวเอง ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่มีมากไม่มีน้อย แต่ละคนอาจจะเรียนรู้ต่างกันไป แม้ว่าจะอยู่ในวงเดียวกันด้วยซ้ำ การแชร์เรื่องราวของแต่ละคน กลับไปสร้างวงจรความคิดที่แตกต่าง ทั้งเสริม และชักชวนให้คิดหลากหลาย ไม่นำไปสู่การขัดแย้ง หรือการปกป้องความคิดของตน ตรงนี้น่าสนใจที่ว่า ทักษะการฟัง นี้มาช่วยให้การดำเนินชีวิตปกติมีสีสรรชีวิตมาก เปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้กว้างออกไป ยอมรับความอ่อนด้อยของตัวเอง และพร้อมที่จะน้อมรับความคิดที่แตกต่างได้มากขึ้น (ใช้คำว่ามากขึ้นเพราะบางครั้งก็หลุด .. ฮา)

ชาวค่าย สร้างแรงบันดาลใจให้ผมเยอะมากจริงๆ มันหายไปจากตัวผมนานแล้ว จะบอกว่ามันเคยมีหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ เพราะจำไม่ได้แล้วว่า แรงบันดาลใจให้อยากทำอะไรจริงๆ มองเห็นสิ่งที่ตนเองอยากเป็น อยากมี คืออะไรกันแน่ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น หรือสิ่งที่เราไปเลียนแบบเขามา เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเป็น

คำพูดของอาใหญ่ ที่บอกกล่าวให้ผม อาจจะจำประโยคชัดๆไม่ได้ แต่เนื้อหาใจความเป็นอย่างนี้ครับ ลัทลองคิดว่า ความรู้สึกที่มีความทุกข์ และมันเยอะมากขนาดนั้น ทำให้ลัทเข้าใจความทุกข์ได้มากกว่าคนอื่นๆ และนั้นละ การเรียนรู้นั้นทำให้ลัทช่วยคนอื่นที่เขามีทุกข์ได้มากมาย

ช่วงเวลานั้นเป็นจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจ ผมอยากเรียนรู้ กระบวนกร บ้าง ผมเริ่มรู้สึกรัก และมีความสุขในสิ่งที่ได้บอกกล่าว และแชร์ความรู้ตัวเองให้กับผู้อื่น การเป็นโค้ช การเป็น Mentor การเป็นที่ปรึกษา น่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบและอยากทำ... ว่าแล้วก็กราบอาใหญ่ ขอเป็นศิษย์เรียนรู้โลกภายใน และเส้นทางกระบวนกร แต่สิ่งที่ต้องทำก็ยังต้องทำ หน้าที่ความรับผิดชอบก็ยังต้องทำต่อไป คงยังไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ คงต้องเป็นลูกศิษย์ที่ตามเรียนรู้อยู่ห่างๆเช่นนี้ต่อไปก่อน
สำหรับผม กระบวนกร ไม่ใช่อาชีพ ผมอยากใช้วิชานี้ นำพาลูก ครอบครัว เพื่อน ญาติ และคนใกล้ชิด ห้ามอุปสรรคต่างๆของเขา นำสู่การเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เขาอยากเรียนอยากศึกษา นั้นคือฝันของผม

ผมรู้สึกเอาเองนะว่า ผมเปลี่ยนไป และเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เปลี่ยน ก็คงมาจากเรื่องราวในชาวค่ายนี้แหละครับ ความรักความอบอุ่น และพลังงานต่างๆที่ ชาวค่ายมอบให้ผม มันมีค่ามากมายนัก โดยเฉพาะในค่ายเยียวยา ในการฟา ตัววิจารณ์ ซึ่งเป็นด่านสำคัญ และใหญ่ที่สุดสำหรับผม ตัวเสียงวิจารณ์ภายในนี้ ในอดีตมันเกือบแอบมาทำลาย หมายจ้องเอาชีวิตผมอย่างโกรธแค้นการมีอยู่ของชายคนนี้

มันก็ตลกดีนะครับ ที่แว๊บแรกที่จะเริ่มเขียนเรื่องราวชาวค่าย สิ่งที่อยากขอบคุณมากที่สุด คือ เจ้าตัวเสียงวิจารณ์ภายในนี้แหละ ขอบคุณการมีอยู่ของเขา ขอบคุณที่ทำให้เรามีบทเรียนของชีวิตหนัก และ ขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้เขาในวันนี้ เพราะตอนนี้ เริ่มว่างพอที่จะหันมองคนอื่นๆ และพบว่า พวกเขายังสับสนและยังไม่เข้าใจเรื่องเสียงวิจารณ์ บางคนก็ละเลยเสียงนั้น พาลไม่ฟัง ข่มเสียงวิจารณ์นั้น ปิดกั้นความรู้สึกนั้น ไม่เรียนรู้ แต่เลือกที่จะเพิกเฉย หรืออดทนไปวันๆ ปล่อยะให้มันหลบอยู่ข้างใน เหมือนที่ อาใหญ่ เขียนในบทความล่าสุด "ตอนที่ ๑๔ พันธนาการกับเด็กน้อย หรือความสั่นไหว"

เมื่อเขาละเลยเสียงวิจารณ์ภายใน เขาก็ยากที่จะก้าวผ่านกำแพง และขอบเขตของตัวตนไปได้ และต้องยอมทนทรมานอยู่ต่อไปเรื่อยๆ และเสียงวิจารณ์นั้นก็คงมีพลังรุนแรงๆขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้เราได้ยิน และรับรู้อีกด้านหนึ่งของเราเสียที ท้ายสุดวงจรเลวร้ายคงเกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่ผมเคยเจอมา

เสียงวิจารณ์ภายในก็ยังมาทำให้ผมหลุดอยู่เนืองๆนะ ดีที่ว่าเดียวนี้ระยะเวลาตอนหลุดสั้นลง และไม่ถี่เหมือนในอดีต มันก็ทำงานของมันไป พอสติ ก็หายไป ไม่โกรธไม่เกลียดมันมากแล้ว กลับมาทบทวนตัวเองต่อ อะไรหน่อ ที่ทำให้เราโกรธ มีเสียงไหนอีกหน่อ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ เหตุการณ์ใดหน่อ ที่มันเคยเป็นแผลเก่าในอดีต เรียนรู้ที่จะกลับไปมองบาดแผล และความเจ็บปวดนั้น ยอมรับเรื่องราวนั้นๆ จะใช้คำว่าทำใจ ก็คงไม่ใช่ แค่รู้ว่ามันคงเป็นอย่างนั้นเอง คนอื่นๆเขาก็เป็นอย่างนั้นเอง เราก็เป็นอย่างนี้เอง ผมว่าคำ " ยอม รับ " ดูเป็นคำที่เหมาะสมสุดละ

ระหว่างเขียนก็เช่นเคย ผมยังคงไม่สามารถหยุดได้ในข้อความสั้นๆ ระหว่างทางยังคงใคร่ครวญตัวเอง และทบทวนเรื่องราวในหัวต่อไปเรื่อย
ผมอยากกราบขอบคุณ ครูบาอาจารย์ชาวค่ายทุกๆท่าน อาใหญ่ ครูพบ ครูผึ้ง ครูแอน อ.กิ่งแก้ว พี่ไก่ น้องต้อง และกระบวนกรท่านอื่นๆ รวมถึงชาวค่ายทุกๆท่าน ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ แต่รู้สึกถึงพลังงานของพี่ๆเพื่อนๆน้องๆที่นี้ได้ต่อท่อเข้ามาที่ใจผมตรงๆ เวลาที่ผมเหนื่อย ท้อ ทุกข์ นอกจากครอบครัวที่คอยให้กำลังใจแล้ว ก็ได้พวกพี่ๆนี้แหละที่คอยชาร์ตแบตเตอรี่ชีวิตที่อ่อนๆอยู่ ให้กลับเต็มขึ้นมาได้อย่างประหลาด

และขอขอบคุณจิ๋ว น้องภูมิ และน๊องน้อง (ภรรยา ลูกชาย และเจ้าตัวเล็กในครรค์) ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมก้าวข้ามจากขอบเหวชีวิต ร่วมทางเรียนรู้โลกภายในด้วยกัน และยังคงท้าทายการเรียนรู้โลกภายในของผมไปเรื่อยๆ @^_^@