Tuesday, January 30, 2007

วิธีทำให้ DVD-Rom อ่านแผ่นได้ทุกแผ่น

ขออนุญาตนอกเรื่องของโหราศาสตร์ไปใช้ด้านหนึ่งของมฤตยู คือ คอมพิวเตอร์ เครื่องโน้ตบุคที่ได้รับความอนุเคราะห์มาจากลุง Bob นำมาเปิด DVD 9 บางแผ่นไม่ได้ จึงต้องหาวิธีการปรับ Setting ของเครื่องใหม่

ไม่รู้ว่าในปัจจุบันเครื่อง DVD-Rom รุ่นใหม่ๆ ยังมีปัญหาตัวนี้หรือเปล่า แต่ใครมีปัญหาก็ตามมาแก้ตามวิธีการดังต่อไปนี้ครับ

ที่มา http://www.justusers.net/knowledges/dvdnotread.htm

 

<< DVD-Rom อ่านแผ่นไม่ได้?? >>

DVD-Rom อ่านแผ่นไม่ได้ มี 2 กรณีครับที่ผมเจอ
1. เกิดจากตัวแผ่น DVD เอง (ทดลองกับเครื่องอื่นดูว่าได้ไหม)
2. เกิดจากตัว WINDOWS หากเกิดจากข้อนี้ให้แก้ไขดังต่อไปนี้ครับ


สำหรับ "Windows 95/98 และ 98SE"
1. ให้เข้าไปที่ Start Menu เลือกคำสั่ง Run
2. ให้พิมพ์คำสั่ง "msconfig"
3. ก็จะเข้าสู่ System Configuration Utility ให้เข้าไปที่แถบ Advanced
4. ให้ติ๊กเอาเครื่องหมายถูกที่ "Disable UDF File System" จากนั้นก็เลือกตกลง (OK) แล้วทำการ Restart เมื่อกลับเข้าสู่ Windows อีกครั้งก็จะสามารถเล่นแผ่นทั้งหลายที่ไม่สามารถเล่นได้แล้วครับ เห็นไหมไม่ยากเลย


สำหรับ "Windows 2000 และ XP"
1. ให้เข้าไปที่ Start Menu เลือกคำสั่ง Run
2. ให้พิมพ์คำว่า "regedit"
3. เข้าสู่โปรแกรม Registry Editor จากนั้นให้เข้าไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE/SYSTEM/ControlSet001/Service/Udfs และ
HKEY_LOCAL_MACHINE/SYSTEM/ControlSet002/Service/Udfs
4. ให้ทำการ Rename โดยการเปลี่ยนชื่อโฟลเดอ UDF ให้กลายเป็นชื่ออื่นซะ
5. ทำการเปลี่ยนชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ตามภาพเปลี่ยนเป็น UDF1 ง่ายดีแค่เพิ่มเลขเข้าไป ) เราก็ไปเปลี่ยนชื่อใน HKEY_LOCAL_MACHINE/SYSTEM/ControlSet002/Service/Udfs กันต่อ ซึ่งก็ทำเหมือนขั้นตอนเดิม จากนั้นทำการ Restart เมื่อกลับเข้าสู่ Windows ก็สามารถเล่นแผ่นต่างๆที่หอบหิ้วมาได้แล้ว
ก็จบลงแล้วสำหรับการแก้ไข UDF ซึ่งสามารถทำได้ทุกเครื่อง ไม่ว่าจะใช้แต่ WinDVD ในการเล่นก็ตาม เพราะช่วยให้การเล่นแผ่นบางแผ่นที่มีปัญหาเล่นได้ดีขึ้น แต่ก็มีผลกระทบเช่นกันสำหรับคนที่ลงโปรแกรมสำหรับเขียนแผ่น CDRW บางโปรแกรม (ย้ำว่าบางโปรแกรม) ดังนั้นหากพบว่าหลังได้แก้ UDF ไปแล้วการเขียนแผ่น CDRW เกิดปัญหาขึ้น ก็ให้ลองกลับมายกเลิกการ Disabe UDF


เขียนโดย คุณ maddog_12 / Com-th.net

Friday, January 26, 2007

ภาระกิจตอบกระทู้ดูดวงที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูลจาก Statcounter หรือ Extreme Tracking บ่งชี้บางอย่างว่า จำนวนคนที่เข้ามาที่เวปโหรายูเรเนียน เริ่มลดลงแม้ว่าจะมีเจ้าประจำที่เข้าประจำอยู่ประมาณ 50 คน แต่ว่าคนใหม่ๆ หรือว่าขาจรเข้ามาน้อยลง เป็นไปได้ว่าด้วยเนื้อหาของเวปไซต์เองที่ยังไม่สามารถจูงใจรายใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงกันต่อไป

แต่อย่างหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือ บุคลิกของคนที่เข้ามาขอดูดวงฟรี เริ่มจะมีคุณวุฒิ และวัยวุฒิเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากเด็กนักศึกษา นักศึกษาจบใหม่ นักศึกษาปริญญาโท คนทำงานระดับกลาง และล่าสุดระดับเจ้าของกิจการ

จากที่เคยดูดวงแบบง่ายๆ ก็ต้องเริ่มดูแบบซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนครั้งหนึ่งการเขียนภาษาโหราศาสตร์ก็สร้างปัญหาให้กับคนมาดูดวงจนได้ เพราะเขาเห็นดาวร้ายๆ เช่น เสาร์ กับ ศุกร์ อยู่ด้วยกัน แล้วทำไมเรายังทายเป็นเรื่องดีๆ ได้อีกละ งง ละสิ

ผมเชื่อว่า อย่าว่าแต่คนทั่วไป อ่านภาษาโหราศาสตร์ แบบที่ดูซับซ้อนในกระทู้หลังๆนี้ แล้วงงเลย พวกนักศึกษาโหราศาสตร์เบื้องต้นมาอ่านก็ยังอาจจะงงได้เลย

มาลองดูกันดีกว่า

"ดวงทินวรรษ เมอริเดียน = ศุกร์ = โพไซดอน, ศุกร์ กุม เสาร์ ราศีสิงห์ และ จันทร์ กุม ลัคนา แอดแมสตอส ในเรือนที่ 1"

แปลได้ว่า

"จากทินวรรษปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่มีความสุขครับ แต่อาจจะมีบ้างที่ต้องอยู่ห่างๆ กัน หรืออาจไม่ค่อยได้เจอกัน แต่คุณทั้งสองก็คงจะเข้าใจสถานการณ์ดีอยู่แล้วซึ่งกันและกันดี"

ใครที่มองภาพเป็นส่วนๆ ก็ต้องบอกว่า อ้าวพี่ ศุกร์ กุม เสาร์ แปลว่า อกหัก รักคุด แถม จันทร์ กุม แอดแมสตอส อีก ไม่ต้องเลิกกันเลยหรอท่าน

ปรากฏว่าเรื่องจริง คือ เจ้าชะตาก็งง เดือนร้อนต้องวิ่งไปถามผู้รู้ และผู้ไม่รู้ทั้งหลายว่า ทำไมหมอดูแปลอย่างงี้ละ งง ทายเอาใจหรือเปล่า หรือเบี่ยงประเด็น

สุดท้ายก็ต้องไปตอบ ไขข้อสงสัย และสอนโหราศาสตร์เล็กน้อยว่า

+++++++

หากจะให้แปล ศุกร์ = เสาร์ ควรต้องบอกว่าเป็นความรักที่มีข้อจำกัด ส่วน เมอริเดียน = ศุกร์ ตัวคุณเองมีความสุข นิครับ ดังนั้นจะบอกว่า ศุกร์ = เสาร์ แล้วไม่มีความสุขได้อย่างไร

เสาร์แปลว่าระยะทางไกล ระยะยาว ความนาน ก็ได้

คราวนี้ โพไซดอน แปลว่า ปัญญา ปรัชญา การรู้แจ้ง ดังนั้น ศุกร์ = โพไซดอล แปลว่า ความรักที่ใช้ปัญญา หรือความรักที่บริสุทธิ์ หรืออาจจะแปลว่า ศาสนา ก็ได้

หากมองไปอีกว่า เมอริเดียน = ศุกร์ = โพไซดอน ก็อาจจะแปลได้ว่า ความรักของเจ้าชะตา เป็นความรักอันบริสุทธิ ใช้ปัญญา และสติ ในเรื่องของความรัก

แอดแมสตอส = ข้อจำกัดอันใหญ่หลวง การพลัดพลาก ความลึกซึ้ง, จันทร์ = ผู้หญิง แม่ บ้าน ครอบครัว ,ลัคนา = สิ่งแวดล้อม คนคุ้นเคย

ลัคนา จันทร์ และแอตแมสตอส อยู่เรือนที่ 1 จึงแปลได้ว่า เจ้าชะตาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีข้อจำกัด หรือพลัดพลากจากผู้หญิง

ศุกร์ ก็ยังสามารถแปลได้ว่า หญิงสาว เสาร์ แปลว่า พลัดพลาก

ซึ่งก็สอดคล้องกัน ผมจึงบอกว่า คงไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่าไรนัก อาจจะไม่ค่อยได้เจอ หรือว่าอยู่ห่างๆกัน

+++++++

แต่แปลกใจที่สุด คือ เมื่อตอบและอธิบาย ภาษาโหราศาสตร์ ไปแล้ว ทำไมหน่อ จึงไม่มีใคร หรือนักศึกษาโหราศาสตร์คนใดไปแสดงความคิดเห็นต่อในกระทู้นั้นอีกเลย ยกเว้น อาจารย์โหร ผู้ซึ่งเป็นทีมงานประจำเวปไซต์ เท่านั้น

งงๆ ไม่เข้าใจ หรือว่า เอ.... มันจะยากเกินไปหน่อย

ที่มา : กระทู้ข้อสงสัยดวงแบบยูเรเนี่ยน และ กระทู้ดูดวงฟรีชีวิตในปี2550นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ

Thursday, January 18, 2007

คำพยากรณ์ตามราศี สำหรับ 19 ม.ค. - 17 ก.พ. 50 ออกแล้วคร้าบ

ในที่สุดก็สามารถปั่นบทความคำพยากรณ์รายเดือน ตามราศี สำหรับเวปไซต์ www.horauranian.com เสร็จทันเวลาเช่นเคย ติดตามอ่านได้ที่ คอลัมน์ทำนายทายทัก ได้เลยครับ


ระหว่างนั่งพยากรณ์ในแต่ละราศี ในดวงอมาวสี (New Moon) เดือนนี้เห็น ศุกร์ ทับ เนปจูน ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการเงินทั้งหลายจะมีลักษณะการปิดปัง ซ่อนเร้น หรือ อาจมีข่าวอือฉาว เกี่ยวกับดารา หรือศิลปิน ให้ฮื่อฮาอีกครั้ง แต่ในประเทศไทย ศุกร์และเนปจูน อยู่ในเรือนที่ 11 (รัฐสภา) แสดงว่า ประเทศไทยน่าจะมีการออกกฏหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือป้องกันการโจมตีค่าเงินบาท หรืออาจหมายถึงกฏหมายเกี่ยวข้องสื่อสาร ก็คงได้ ( เนปจูน+ ราศีกุมภ์ = เทคโนโลยีที่ไร้สาย = มือถือ?)


อื่มๆ ทำไมหน่อ อ่านดวงรายราศี ดันไปออกเรื่องโหราศาสตร์การเมือง ที่สำคัญเราเคยแซว อาจาร์ย วิโรจน์ กรดนิยมชัย ตอนท่านสอนโหราศาสตร์ ว่าอาจารย์อ่านดวงคน ทำไมไปออกการเมืองละครับ :) สงสัยกรรมจะตามสนอง ติดนิสัยอาจารย์มาซะแล้วเรา


ลืมโม้ไปว่า สร้าง template สำหรับช่วยในการพยากรณ์แต่ละราศีเสร็จแล้ว สามารถลดขั้นตอน และเวลาในการดูดวงได้มากจริงๆ ไม่ต้องมานั่งเขียนดาว กับเรือนชะตาที่ละราศี ใช้วิธีกรอกบน Excel เสร็จ Print ออกมาเลย อ่านและพยากรณ์อย่างเดียว แต่ที่ยากของจริง คือ การพยากรณ์มากกว่า


เริ่มแกะรอยคำพยากรณ์รายไตรมาส ของ อ. วิโรจน์ กรดนิยมชัย ได้มากขึ้นแล้ว ดีใจจัง


พอเริ่มแกะออก ก็จริงเหมือนกับที่พี่ตู่ (อ. กามล แสงวงศ์) เคยบอกไว้ว่า "อ.วิโรจน์ ไม่ใช้อะไรซับซ้อนมากมายเหมือนที่ลัทคิดหรอก ท่านใช้หลักการง่ายๆ แปลง่ายๆ ตามปรัชญาดาว และเรือนชะตา"


เอาน่ามาได้ที่ละนิด เราก็ดีใจแล้ว

Tuesday, January 16, 2007

ปรัชญาของดาว จาก www.horathai.com ตอน 2

อ.วรกุล ท่านโพสในเวปบอร์ดของ www.horathai.com น่าสนใจมาก แม้ว่าจะเป็นกระทู้ "คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 21)" แต่อ่านแล้วอย่างไงก็สามารถใช้ในโหราศาสตร์สากลได้อย่างแน่นอน

+++++++++++++++++++++++++

อ.วรกุล :

ธาตุที่สำคัญอย่างต่อมา คือ อาทิตย์ ซึ่งมีธรรมชาติรวมศูนย์ลงเป็นหนึ่งเดียว อาทิตย์นั้นต่างจากเสาร์ แต่ลักษณะคล้ายกันคือ รวบรวมเอาทั้งสิ่งที่แตกต่างหรือ เหมือนกันก็ตามรวมเข้าหาเป็นหนึ่งเดียวเสมอ ดังนั้น อาทิตย์จึงมีพลังงานสูงมาก และกลายเป็นสิ่งที่เป็นเอกอันเดียว เราจึงมักทำนายอาทิตย์ว่าเป็นเอก เป็นใหญ่ เป็นเลิศ เป็นหัวหน้า เป็นอำนาจ และเป็นศูนย์กลางของชนหมู่มากเช่น พระราชา นอกจากนั้น อาทิตย์ยังเป็นที่มาของ “ชีวิต” และยังหล่อเลี้ยงชีวิตด้วย นักโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ จึงถือว่าอาทิตย์คือผู้ให้ชีวิต บางศาสนาที่สร้างอวัยวะเพศชาย หมายถึง อาทิตย์ เป็นรูปเคารพ จึงหมายถึง ผู้ที่สร้างชีวิต หรือ รวบรวมสรรพสิ่งไว้ในชีวิต ไม่ใช่เครื่องหมายทางเพศและกามารมณ์

ธาตุที่เป็นคู่ตรงกันข้ามก็คือ จันทร์ เนื่องจากจันทร์ทำสิ่งเดียวให้กลายเป็นหลายอย่าง ยิ่งธาตุจันทร์อยู่นานเท่าไร จำนวนก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น เราจึงมักทำนายจันทร์ว่าเป็นประชาชน หรือ คนหมู่มาก ปลาฝูงใหญ่ๆ หรือสิ่งที่เป็นปริมาณมาก เช่น สายน้ำ แม่น้ำลำคลอง ที่น้ำแต่ละหยดไหลมารวมกัน หากจันทร์เป็นทรัพย์สมบัติก็จะทวีคูณขึ้นอย่างมีปริมาณและคุณภาพ จันทร์ จึงมีลักษณะขยายตัวกว้างออกไป เหมือนอารมณ์และจิตใจที่ไม่มีขอบเขตลิมิต การที่จันทร์เพิ่มจำนวนสรรพสิ่งได้นี่เอง นักปรัชญาและศาสนาโบราณจึงถือจันทร์เป็น “มารดา” และอวัยวะเพศสตรี หรือ สตรีเอง ในความหมายว่าเป็นผู้แพร่พันธ์ ความหมายนี่ยังติดมาแรงในดวงโลกด้วย

อยากให้สังเกตตรงนี้ว่า ลักษณาการตามธรรมชาติการหดตัวรวมศูนย์ ของ อาทิตย์ กับเสาร์ และการขยายตัวออกของ จันทร์ กับ พฤหัส นั้นเป็นลักษณะคล้ายกัน เหมือนกับที่มันทำงานเป็นคู่ธาตุ ในมหาทักษา แต่นี่ยังอยู่ในกรอบของจักรวาลใหญ่อยู่

ธาตุอีกธาตุหนึ่งที่จะกล่าวถึง คือ อังคาร ซึ่งมีธรรมชาติดูดซับเอาพลังงานเอาไว้แล้วปลดปล่อยออกไป เพราะคุณสมบัติข้อนี้จึงทำให้อังคารเป็นธาตุที่เป็น “ตัวทำงาน” ที่สำคัญ ทั้งในดวงเดิมและดวงจร โดยปกติ อังคารนั้นไม่สามารถสร้างพลังเอง แต่ตัวมันจะสะสมพลังงานเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อยได้มาจากธรรมชาติรอบตัวและธาตุอื่นๆที่มาสัมพันธ์กับมัน ดังนั้น เมื่อมันมีจังหวะปลดปล่อยออกไปก็จะมีกำลังเหมือนพลังในตัวเอง เรามักพบอังคารในที่ๆยืดหยุ่นได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะมีการสะสมและคายพลังงานออกมาได้เกือบเท่ากัน เช่น เหล็กหรือ โลหะก็จะมีความยืดหดอยู่น้อยๆ นักกีฬาทั้งหลายก็มีพลังงานในกล้ามเนื้อที่สะสมไว้ทั้งจากสารอาหาร และการยืดดึงเหนียวแน่นของเส้นเอ็นที่เกิดจากการฝึกฝนสะสมเอาไว้เป็นเวลานาน อังคารเองจึงไม่ชอบธาตุศุภเคราะห์ที่มักขยายตัว และยังไม่ชอบเสาร์ เพราะความแข็งเกินไปทำให้มันเสียความยืดหยุ่น กลายเป็นเปราะและแตกหักได้

ธาตุพื้นฐานของธรรมชาติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ศุกร์ ศุกร์คือ ความสอดคล้องกลมกลืน และความสำเร็จ เมื่อใดธาตุที่ทำงานอยู่มีธาตุศุกร์อยู่ด้วย จะมีความสอดคล้องกลมกลืนกันได้ ดังนั้น ศุกร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสุริยจักรวาลและสรรพสิ่งที่จะรวมกันโดยไม่แตกทำลายไปเสียก่อน เพราะศุกร์นี่เองที่ทำให้เกิดจังหวะของธาตุที่รูปธรรมสอดคล้องตรงกัน ที่ก่อร่างสร้างขึ้นจากนามธรรม เราจึงพบศุกร์ในพวกดนตรี และศิลปะ ความรัก ความงาม และความสมส่วน เนื่องจากการสอดคล้องกลมกลืนนั้น เป็นความสำเร็จขั้นสุดท้าย จากความแปรปรวนรวนเร เราจึงแปลนามธรรมของศุกร์ว่าเป็น “ความสำเร็จ” ซึ่งหยุดนิ่งสงบด้วยฉันทะความพึงพอใจในธรรม ต่างจากนามธรรมอื่น เช่น พฤหัส จันทร์ พุธ อาทิตย์ เป็นต้น เพราะพวกนี้จะพัฒนาไม่หยุด

ธาตุตัวถัดไปคือ พุธ พุธคือ การส่งผ่าน เคลื่อนที่ หากขาดฟังชั่นนี้ ก็จะทำให้ธาตุทั้งหลายตลอดจนพลังงาน ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างเป็นระเบียบ พูธช่วยให้เกิดการลำเลียงของธาตุ การหดตัวและการขยายตัวของธาตุ ล้วนเป็นไปอย่างเป็นระเบียบสัมฤทธิผล ไม่มีอุปสรรค เราจึงเห็นพุธในพวกคลื่น การแพร่หลาย การส่งผ่าน คำพูดและภาษา รวมทั้ง การเรียนรู้ต่างๆ จะเห็นว่า พุธจะคล้ายพฤหัสในแง่การขยายตัวออกไป แต่พูธนั้นเป็นการขยายแพร่เคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง พุธเพิ่มปริมาณเหมือนจันทร์ ทำให้เป็นคู่มิตรแก่กันได้ดี พุธจูนคลื่นของสรรพสิ่งให้ตรงกันด้วยวิธีเคลื่อนย้ายไปสู่สมดุล มันจึงทำงานคล้ายกับศุกร์ คู่ธาตุของมัน

ธาตุตัวพื้นฐานสุดท้าย คือ ราหู ราหูของจักรวาลใหญ่ไม่ใช่คราส หรือ เงาของโลก แต่เป็นความยึดติดตรึงเหนียวแน่น ทำให้เราเรียกราหูว่า อวิชชา ที่ยึดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นอัตตา เพราะราหูมักจะยึดเหนี่ยวสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ ขาดไม่ได้ ราหูจึงมีประโยชน์ให้ธาตุยึดติดคุมตัวกันอยู่ได้นาน เช่นธาตุของเสาร์ที่หดตัวรัดแน่น หากมีราหูช่วยยึดติดไว้ก็จะแข็งแรงให้คุณมาก ราหูจึงเป็นภัยศัตรูใหญ่ของพฤหัส จันทร์ และพุธ เพราะการยึดเหนี่ยวของราหูทำให้ธาตุขยายตัวแพร่ไปได้ยาก ราหูทำให้จังหวะของศุกร์สะดุด และอาทิตย์รวมลงไม่ได้สนิท ราหูกับอังคารไปกันได้เพราะอังคารเหนียวแน่นดี ราหูยึดไว้ไม่ให้หลุด แต่ก็ทำให้อังคารเสียความยืดหยุ่นไปได้ด้วย เราจึงมักพบราหูในพวกสิ่งเสพติดและอบายมุข ราหูจึงเป็นศัตรูแรงกับธาตุศุภเคราะห์ทุกอย่าง เพราะมันเหนี่ยวรั้งไม่ให้เกิดการขยายตัวหรือเคลื่อนที่ออกไป

ขอย้ำว่า ธาตุพื้นฐานเหล่านี้ ยังเป็นของธรรมชาติโดยส่วนรวมที่ยังไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับสุริยจักรวาล และโลกเลย เมื่อธาตุเหล่านี้ทำงานอยู่ในจักรวาลและโลก จะถูกคุณสมบัติของระบบทำให้คุณสมบัติทางนามธรรมของมันแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ ธาตุเหล่านี้เป็นนามธรรมที่ทำงานตามธรรมชาติของมัน จึงอาจจะเสริมกับธาตุอื่น หรือ ขัดแย้งกันก็ได้ไปจนกว่าจะไปสู่สมดุล ปฏิกริยาระหว่างธาตุทั้งหลายนี่แหละเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนมาเป็นคำทำนายจำนวนมากในโหราศาสตร์

ปรัชญาของดาว จาก www.horathai.com ตอน 1

อ.วรกุล ท่านโพสในเวปบอร์ดของ www.horathai.com น่าสนใจมาก แม้ว่าจะเป็นกระทู้ "คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 21)" แต่อ่านแล้วอย่างไงก็สามารถใช้ในโหราศาสตร์สากลได้อย่างแน่นอน

+++++++++++++++++++++++++

อ.วรกุล :

ในตอนก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึงระบบธรรมชาติทั้งสี่ที่มีผลต่อโหราศาสตร์ไทย ได้แก่ หนึ่ง จักรวาลใหญ่ทั้งหมด (หรือ เอกภพ) สอง สุริยจักรวาล สาม โลกของเรา สี่ โลกส่วนตัวของเรา มาแล้ว โหราศาสตร์เชื่อว่าทั่วทั้งจักรวาลล้วนแต่มีความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทางเดียวกันพร้อมกัน ธาตุทุกอย่างที่เป็นองคประกอบของธรรมชาติรอบตัวเรา รวมทั้งตัวเราด้วยนั้น ประกอบไปด้วยรูปธรรม และ นามธรรม ที่สามารถถ่ายเทสื่อสารได้และก็เปลี่ยนแปลงไปตามจักรวาลในส่วนรวม

โหราศาสตร์นั้นมีที่มาของการศึกษานามธรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความหมายของดาว หรือ ราศี ล้วนแปลจากความหมายที่เป็น “ปรัชญา” ซึ่งแม้จะใช้คำไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่มีคำอื่นที่ดีกว่า ความหมายทางปรัชญาของธาตุในเอกภพที่เป็นส่วนรวมนี่เองซึ่งเราใช้กันในโหราศาสตร์และดวงชะตา ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนไปได้หลายรูปทั้งนามธรรมและรูปธรรม ขณะที่ธาตุเป็นรูปธรรม มันจะเป็นไปตามกฎทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ เคมี หรือ กฎทางสสารและพลังงาน แต่ขณะที่มันเป็นนามธรรมนั้น เรากลับไม่เห็นกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายมันได้ นอกจากการศึกษาพฤติกรรมทางจิตวิทยาเท่านั้น ทำให้ความรู้เรื่องของธาตุในทางนามธรรมและจิตใจก็ตาม ไปปรากฏในคัมภีร์ทางปรัชญา ศาสนา และศาสตร์วิชาลึกลับต่างๆ เช่น ไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ เป็นต้น

พวกเราเองอาจจะไม่ทราบ หรือ ไม่ทันคิดว่า ความจริงแล้วความหมายทางปรัชญาของธาตุที่เราเรียนทางโหราศาสตร์นั้น แท้ที่จริงมาจากปรัชญาโบราณ เพราะการที่สสารสามารถเปลี่ยนข้ามสถานะจากนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งสามารถแสดงผลต่อสัญชานความรู้สึกได้นั้น เป็นพื้นฐานหลักวิชาต่างๆในปรัชญาโบราณมาแต่เดิม โดยทั่วไปนามธรรมของจักรวาลมีอยู่มากมาย แต่โหราศาสตร์เองศึกษาเพียงนามธรรมและรูปธรรมที่มีผลต่อชีวิตมนุษย์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์นั้น เกิดจากจังหวะวงรอบธรรมชาติที่สอดคล้องกับการสร้างร่างกายและชีวิตของมนุษย์ขึ้นมาโดยตรง ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย แต่บางท่านกลับไปเห็นว่านี่เองเป็นทั้งหมดของโหราศาสตร์แล้ว ดังนั้น จึงเชื่อกันนั่นคือสัจธรรม ที่เป็นบิดามารดาของโหราศาสตร์ทุกระบบในโลก ทั้งๆที่โดยข้อเท็จจริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความรู้ที่นักปรัชญาไสยศาสตร์ตะวันออกทราบกันอยู่นานแล้วในระบบความรู้อื่น

จักรวาลใหญ่ หรือ เอกภพนี้มีความเป็นอยู่โดยไม่มีผู้สร้างอื่น นอกจากมันสร้างผู้สร้างและผู้ทำลายขึ้นมาเอง จนดูเหมือนเป็นจักรกลที่มีชีวิต และกลไกของการดำรงอยู่ด้วยตนเองเป็นเวลานานนับกัลป์ หรือ ยาวนานนับไม่ได้นี่เอง ทำให้นามธรรมบางส่วน “มีอำนาจ” ในการทำหน้าที่ควบคุมตนเองและจักรวาลโดยส่วนรวมได้ ทั้งๆที่องค์เหล่านี้มีที่มาจากนามธรรมที่เป็นเพียงจักรกลไม่มี “ชีวิต” (ในความหมายของเรา) หรือ เป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้นเอง นี่จึงเป็นที่มาของความหมายคำว่า “เทวดาเสวยอายุ” ที่นำมาใช้ในโหราศาสตร์ไทย “เทวดา” หรือ ธาตุในมหาทักษา จึงไม่ใช่เทวดาในความเชื่อตามวัฒนธรรมว่าเป็นเพียงวิญญาณของผู้ทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แต่เป็นธรรมชาติ หรือ นามธรรม ที่แฝงอยู่ในตัวเราทุกอณูของร่างกายและจิตใจนั่นเอง

สิ่งที่จักรวาลใช้เป็นเครื่องมือควบคุมตนเองในระดับที่สูงกว่ากฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ โดยคร่าวๆ มีอยุ่ไม่กี่อย่างที่เราเรียกว่า ธาตุ หมายถึง ธรรมที่เป็นชิ้นส่วนของธรรมชาติ หรือ Elements of Nature ที่กร่อนลงมาเป็น Element หรือ “ธาตุ” ในความหมายทางฟิสิกส์แต่เพียงอย่างเดียว แต่โหราศาสตร์ยังคงให้ความหมายของ “ธาตุ” ทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรมตามอย่างแนวคิดโบราณเช่นเดิม ดังนั้น เมื่อเราต้องการที่จะเข้าใจโหราศาสตร์และข้อความในตำรา เราก็ต้องเข้าใจความหมายเครื่องมือพื้นฐานของธรรมชาติ ในกรอบของจักรวาลใหญ่ หรือ เอกภพ เสียก่อน

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่า “ธาตุ” นั้นมีมาก่อนดาวเคราะห์ ถึงแม้ไม่มีดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ในจักรวาลเลยแม้แต่ดวงเดียว “ธาตุ” หรือ “ธรรม” นี้ก็มีอยู่ก่อนนานแล้วเป็นเวลานานนับกาลเวลาไม่ได้ โดยทั่วไปเมื่อ “ธรรม” เหล่านี้ดำรงอยู่ในจักรวาล มันจะอยู่ในสภาพของนามธรรม ต่อเมื่อมีเงื่อนไขและจังหวะธรรมชาติที่เหมาะสม นามธรรมแต่ละประเภทก็จะกลายเป็นรูปธรรมได้ นามธรรมเหล่านี้ไม่มีชื่อ แต่การบัญญัติชื่อนั้นบัญญัติตามหลังรูปธรรมที่เราพบเห็นและตั้งชื่อแล้ว เช่น ดาวเคราะห์ ซึ่งหากย้อนกลับไปดู เราจะกลับพบว่าชื่อดาวเคราะห์นั่นเองที่มักบัญญัติตามนามของเทพเทวดาในเทววิทยาของอารยธรรมโบราณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ชื่อเหล่านี้มีที่มาจากนามธรรมมาก่อน แต่เพราะความไม่เข้าใจเรื่องนี้ จึงทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราเข้าใจผิดคิดว่า ดาวเคราะห์นั้นเองเป็นบ่อเกิดที่มาของนามธรรมชื่อเดียวกัน

สิ่งที่สำคัญควรจะต้องทราบมีอยู่ว่า นามธรรมนั้นมีอยู่มากมายทั่วจักรวาลหรือเอกภพนี้จนอาจจะนับไม่ได้ ที่เราเอามาศึกษาหรือใช้ในโหราศาสตร์เป็นเพียงส่วนน้อยนิดเดียวเท่านั้น เพียง 7 – 8 อย่าง เหมือนอย่างช่างไม้ที่มีเครื่องมืออุปกรณ์มากมาย แต่มีเพียงไม่กี่อย่างที่นำมาพกติดตัว ดังนั้น นามธรรมที่เราเอามาใช้นั้น จึงจำเป็นต้องตีความหมายอื่นๆที่พอใกล้เคียงอนุโลมรวมเข้าในชื่อธาตุหนึ่งๆ ทำให้ความหมายธาตุมันกว้างขวางออกไป การที่เรานำนามธรรมมาใช้ได้น้อยก็เพราะว่า นามธรรมจำนวนมากไม่ได้มีจังหวะธาตุประจวบเหมาะพอที่จะสอดคล้องกับธรรมชาติของสุริยจักรวาลและโลกที่เราอยู่ จึงกลายเป็นธาตุแฝง ส่วนที่แสดงเด่นมีเป็นส่วนน้อย

ธาตุแต่ละชนิดในเอกภพจะมีธรรมชาติไม่เหมือนกัน ธาตุที่สำคัญอันดับแรก ก็คือ พฤหัส พฤหัสมีธรรมชาติที่ขยายตัวออกไป ดังนั้น เราจึงมักทำนายพฤหัสว่าหมายถึง ความเจริญ แต่การตีความเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลำเอียงไปในทางดีและน่าพอใจ เนื่องจากธาตุที่เป็นเครื่องมือพื้นฐานของธรรมชาตินั้นเป็นกลาง เหมือนอย่างมีดพร้า ที่อาจจะเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ได้ทั้งสองทางสุดแต่นำมันมาใช้ทางใด ดังนั้น หากพฤหัสเข้าร่วมพัฒนาในสิ่งไม่ดี เช่น โรคภัย เนื้องอก ความหยิ่ง ความโลภ หรือ ความเลว ก็จะขยายตัวกลายเป็นโทษและมีความไม่ดีตามสิ่งนั้นๆไปด้วย นี่เป็นอุทาหรณ์ในการพิจารณาธาตุทุกอย่าง จะต้องพิจารณา “หน้าที่” ตามธรรมชาติของธาตุมากกว่าจะจดจำที่ภาพลักษณ์ ที่ทำให้เกิดความลำเอียงในการพิจารณาทั้งดาวเดิมและดาวจร และการทำนายนั้นต้องมีเหตุผลของมันตามธรรมชาติ ไม่ใช่การทำนายแบบสำเร็จรูป

ธาตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ เสาร์ เสาร์มีธรรมชาติที่ลดขนาดบีบตัวควบแน่นมั่นคง แต่ก็เป็นกลางๆในฐานะเครื่องมือพื้นฐานในธรรมชาติ การที่เสาร์บีบตัวลงนั้น ทำให้เกิดความมั่นคงได้ เพราะอะไรที่มัดรัดแน่นไม่กลวงเป็นโพรง ก็จะมีความแข็งแกร่ง ทนทาน ตามไปด้วย แต่การที่เสาร์จะให้โทษ หรือ ให้คุณก็เกิดจากการทำหน้าที่ของมันในแต่ละสถานการณ์เช่นกัน เช่น หากเสาร์เป็นธาตุที่เจือปนอยู่ในโครงสร้างที่ต้องรับภาระ (load) เช่น สิ่งก่อสร้าง ก็จะทำให้อยู่คงทนได้ เสาร์มักจะให้ความแข็งแกร่งเพราะคุณสมบัติของมันข้อนี้ ทำให้ผู้ที่มีเสาร์เด่นดีจะมีความอดทน สิ่งที่ได้คุณจากเสาร์ก็จะมั่นคงไม่ผันแปรง่าย แต่เสาร์ก็สามารถให้โทษได้ในที่ๆซึ่งไม่ต้องการให้มั่นคงอยู่กับที่ เช่น ติดคุกตะราง ยศตำแหน่งความก้าวหน้า หรือ งานที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง

เสาร์ มักจะให้โทษทุกข์แก่พวกนามธรรมเช่นพวกจินตนาการ จิตใจ ศิลปะ หรือ ดนตรี เช่น จันทร์ หรือ ศุกร์ จึงเป็นสิ่งที่ฝืนกันเหมือนศัตรูตามธรรมชาติ เพราะนามธรรมที่เกิดจากจิตใจอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีธรรมชาติต้องการความฟุ้งไปไม่อยู่นิ่งกับที่ หากมีอิทธิพลของเสาร์เจือปนอยู่ก็จะเกิดการบีบรัด ฝืนความต้องการของจิตใจ จนกลายเป็นนิสัยเจ้าทุกข์ แต่ทางกลับกัน หากจิตใจที่ต้องการสงบ สมาธิ รวมลงเป็นหนึ่ง จึงใช้จะประโยชน์จากเสาร์ได้ดีมาก หากมีปัญญาความเพียรดี มักจะเป็นผู้ทำภาวนาได้ผลดีในทางสมาธิวิปัสสนา จิตไม่ฟุ้งกระจายแส่ส่าย เพราะเสาร์นั่นเองควบคุมธาตุของใจและอารมณ์ให้รวมลงได้แข็งแกร่งและมีกำลังมาก

ธรรมชาติของ พฤหัส และ เสาร์นี้ จึงเป็นเครื่องมือใหญ่ในการควบคุมธรรมชาติเอง โบราณจึงถือเป็นประธานศุภเคราะห์และประธานบาปเคราะห์ เมื่อมีการขยายตัวแล้วก็บีบกลับเล็กลงแล้วขยายใหม่ ธรรมชาติโดยรอบจะเกิดขัดแย้งปั่นป่วนจากการขยายและหดตัวของธาตุทั้งสองซึ่งกินเวลายาวนาน จนถึงกับถือว่าเป็นยุคหนึ่งๆ ทั้งพฤหัส และเสาร์เป็นธาตุที่มีอยู่ในทุกสิ่งในธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งที่ควบคุมธรรมชาติในทุกอณูของสรรพสิ่งด้วย เหตุที่กำหนดให้มันเป็นประธานของพระเคราะห์ เพราะมีนามธรรมที่แบ่งได้เป็นสองพวก ซึ่งมีธรรมชาติลักษณาการส่งเสริมการสร้างขยายและหดตัวของจักรวาล ทำให้เกิดสมดุลนั่นเอง ไม่ใช่เป็นประธานฝ่ายความดี และความชั่ว อย่างที่สอนกันมาผิดๆ

Sunday, January 14, 2007

Harddisk 250 GB ตัวใหม่ ฉลอง Su(t) 180 Su(n) และ 45 กับ Ne(n)

จริงๆ แล้วไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นปรากฏการ์ณที่เกิดขึ้นเนื่องจาก อาทิตย์ จร เล็ง อาทิตย์กำเนิด และ 45 = เนปจูน ในเช้าวันที่ 13/01/07 หรือว่าเป็นเพราะ เสาร์จร 60 องศากับ มฤตยู และ อาทิตย์จริง ฉาก กับ มฤตยู ในวันที่ 14/01/07

หากรวมกันเป็นสูตรได้ เพราะว่า น่าจะยังอยู่ในระยะวังกะ 1 องศา นิดๆ

Su(t) = Su = Ne = Ur, Sa(t) 60 Ur หากจะแปลให้ตรงกับความเป็นจริงก็ดูไม่ขัดอะไร

"วันที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิก(มฤตยู)สำหรับการบันทึก(เนปจูน) ขนาดใหญ่(เสาร์)"

แต่ก็ยังมิวายมีปัญหาตอนทำ Partition และ Format เพราะ Window XP ดูเหมือนจะไม่สนับสนุนกับ format เป็น FAT32(ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบหนึ่ง) พยายามอยู่นานมาก สุดท้ายอาจารย์ Google แจ้งว่า ศูนย์คอมพิวเตอร์ ของมหาลัยชั้นนำของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางใต้มีหลายวิทยาเขต และชื่อย่อไม่เหมือนมหาลัยทั่วไป (ม.อ.) มีบทความว่าด้วยสิ่งที่หาอยู่พอดี ได้โปรแกรมสุดยอดมา FAT32FORMAT.EXE ใช้เวลาจัดการแค่อึดใจเดียว (รู้งี้หาข้อมูลในเนตนานละ ไม่ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงลุ้นแล้วแห้วอยู่นานสองนาน)

อ้างอิง :